ใครเคยเปิดบัญชีธนาคาร ซื้อบ้าน ซื้อรถ ทำสัญญาเงินกู้กับธนาคารเพื่อผ่อนทรัพย์สินชิ้นใหญ่ๆ
จดทะเบียนบริษัท ทำบัตรประชาชน จดทะเบียนสมรส หรือทำธุรกรรมใดๆ กับหน่วยงานรัฐ คงหนีไม่พ้นที่จะต้องลงลายมือชื่อบนเอกสารมากมาย
ในการดำรงชีวิตของคนทุกคนเกี่ยวข้องกับการเซ็นชื่อในเอกสารต่างๆ มานับครั้งไม่ถ้วน สาระสำคัญของ “ลายเซ็น” คือ “การระบุตัวตนเพื่อยืนยันความรับผิดชอบ” นั่นเอง และเมื่อโครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศพัฒนามาจนถึงระดับที่สามารถระบุตัวตนของผู้ใช้งานได้ จึงมีการพัฒนาลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ออกมาใช้งานบนระบบสารสนเทศ
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือ DGA มีภารกิจหลักในการนำหน่วยงานภาครัฐไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล จึงสนับสนุนให้เกิดการใช้งาน e-Signature (ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์) ในหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ
e-Signature เป็นรูปแบบใดได้บ้าง
หลายคนอาจจะยังติดกับภาพว่า e-Signature คือ ลายเซ็นที่ใช้ปากกาสไตลัส (Stylus) หรือ นิ้วมือของเราเขียนลงบนหน้าจอมือถือหรือแท็บเล็ต แต่จริงๆ แล้ว e-Signature มีรูปแบบที่หลากหลายกว่านั้นมาก เช่น
- การพิมพ์ชื่อไว้ในตอนท้ายของอีเมล
- รูปลายเซ็นของเราที่ตัดแปะไว้บนเอกสารต่างๆ ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์
- การกดยอมรับ หรือทำเครื่องหมายในช่องแสดงการยอมรับ “ข้อตกลงและเงื่อนไข” (Terms and Conditions) ของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันต่างๆ ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาว่ายอมรับเงื่อนไขหรือข้อกำหนดตามที่ข้อความแจ้งไว้ทั้งหมด
- การกระทำใดๆ ภายใต้การล็อกอินผ่าน Username และ Password ของตน ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ข้อความ การแชท การสั่งซื้อของออนไลน์ ล้วนถือเป็นการกระทำภายใต้การเซ็นชื่อยินยอมมีพันธะสัญญาทางกฎหมายกับการกระทำและเอกสารเหล่านั้น
- ลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature)
อย่าสับสน e-Signature และ Digital Signature
นอกเหนือจาก e-Signature แล้ว ไฉนเลยจึงมี Digital Signature โผล่มาอีก ทั้งสองอย่างต่างกันอย่างไร เรามีคำตอบให้
Digital Signature หรือ ลายมือชื่อดิจิทัลคือ ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์รูปแบบหนึ่งที่ได้จากกระบวนการเข้ารหัสลับของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งช่วยให้สามารถยืนยันตัวตนและสามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของข้อความและลายมือชื่อได้
สรุปคือ Digital Signature เป็น e-Signature ในแบบที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้มากขึ้นนั่นเอง
หัวใจสำคัญของ e-Signature
ปัจจุบัน กฎหมายรองรับ e-Signature ทำหน้าที่เหมือนลายเซ็นบนกระดาษ แต่เมื่อเป็นเรื่องใหม่จึงจำเป็นต้องระบุให้ได้ว่า e-Signature นั้นมีหน้าที่อะไรอย่างชัดเจน ซึ่งสามารถระบุได้สองประการที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ
ประการแรก ต้องระบุตัวตนเจ้าของ e-Signature ได้ เพื่อเป็นหลักฐานที่สามารถระบุตัวเจ้าของลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้นได้
ประการที่สอง ทำให้เกิดหลักฐานการแสดงเจตนาของเจ้าของลายเซ็นเกี่ยวกับเอกสารที่ได้เซ็นไว้ในการทำธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การอนุมัติ เห็นชอบ หรือยอมรับข้อความ การรับรองหรือยืนยันความถูกต้อง การตอบแจ้งการเข้าถึงหรือการรับข้อความ และการเป็นพยานให้กับการลงลายชื่อของผู้อื่น
e-Signature ที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
กฎหมายไม่ได้ระบุให้ e-Signature มีรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเปิดกว้างให้มีความครอบคลุมภาพรวมของลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ในทุกรูปแบบดังที่ได้เกริ่นไว้แล้วข้างต้น และเพื่อรองรับหลักความเป็นกลางทางเทคโนโลยี (Technology Neutrality) ที่สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีใดก็ได้ในการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผู้ใช้งานมีความยืดหยุ่น สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีตามความเหมาะสมกับความเสี่ยงของธุรกรรมนั้นๆ
แต่เพื่อให้เป็น e-Signature ที่สมบูรณ์และได้รับการรับรองด้วยกฎหมายแล้วนั้น e-Signature จะต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 3 ข้อ ดังต่อไปนี้
- สามารถระบุตัวตนของเจ้าของลายเซ็นได้ ว่าผู้เซ็นคือใคร
- สามารถระบุเจตนาตามข้อความที่เซ็นได้ ว่าเซ็นเพื่ออะไร
- มีการรักษาความครบถ้วนของข้อมูล มีหลักฐานแสดงได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงความหมายของข้อความที่ลงลายมือชื่อ หรือใช้วิธีการที่เชื่อถือได้ในการเซ็น เช่น ทำผ่านระบบที่มีความปลอดภัย มีหลักฐาน พยาน หรือบุคคลที่ 3 ที่รับรองการเซ็น เป็นต้น
ภาระในการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือ
เนื่องจากเอกสารที่ต้องการการลงลายมือชื่อนั้นมีหลายประเภท ความสำคัญ ความเสี่ยง และมูลค่าของข้อความในเอกสารก็แตกต่างกัน ดังนั้นจึงมีการแบ่ง e-Signature ออกเป็น 3 ประเภท ซึ่งมีระดับความน่าเชื่อและภาระในการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือที่ต่างกัน ดังต่อไปนี้
- e-Signature แบบทั่วไป เหมาะกับธุรกรรมทั่วไปที่มีผลกระทบในระดับต่ำต่อองค์กร ภาระการพิสูจน์จะตกอยู่ที่เจ้าของลายมือชื่อ ซึ่งเป็นผู้ที่กล่าวอ้างว่าลายมือชื่อนั้นน่าเชื่อถือ
- e-Signature แบบเชื่อถือได้ เหมาะกับธุรกรรมที่ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงเงื่อนไขหรือข้อควรระวังเบื้องต้น
- e-Signature แบบเชื่อถือได้และมีใบรับรองที่ออกโดยผู้ให้บริการออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Certification Authority: CA) เหมาะกับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน เช่น ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่เป็นความลับขององค์กร ธุรกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง
สำหรับ e-Signature แบบที่ 2 และ 3 ภาระการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือจะตกอยู่ที่ผู้โต้แย้งหรือคัดค้านว่าลายมือชื่อนั้นไม่น่าเชื่อถือ
ภาครัฐ-ประชาชน ร่วมกันใช้ประโยชน์ e-Signature
e-Signature จะเป็นกลไกสำคัญที่มาพลิกโฉมการจัดการบริการต่างๆ ของภาครัฐที่มีให้กับประชาชนจากวิถีแบบเดิมๆ ไปสู่ระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ เพิ่มทางเลือกใหม่ในการติดต่อและขอรับบริการจากภาครัฐ โดยที่ประชาชนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปติดต่อที่สำนักงาน ไม่ต้องเตรียมเอกสารจำนวนมาก หรือรอการเซ็นอนุมัตินานๆ อีกต่อไป
แม้แต่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่เดินทางไปยังหน่วยราชการลำบาก แต่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเข้าถึงก็สามารถรับบริการจากภาครัฐได้อย่างง่ายดาย เป็นการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลและบริการจากภาครัฐ ที่สำคัญคือ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนลง เช่น ค่าเดินทาง ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ เป็นต้น
ในที่สุดแล้วประชาชนและภาครัฐจะใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้ภาครัฐรู้ความต้องการของประชาชนและสามารถพัฒนาต่อยอดบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองปัญหาและความต้องการให้กับประชาชนได้อย่างตรงจุดและทันสถานการณ์ ซึ่งผลประโยชน์ทั้งมวลก็ตกอยู่กับประชาชนผู้รับบริการงานจากภาครัฐนั่นเอง
ภาคเอกชนกับ e-Signature
สำหรับการใช้งาน e-Signature ในองค์กรธุรกิจ ควรใช้เป็น e-Signature แบบเชื่อถือได้ หรือ มีใบรับรองที่ออกโดยผู้ให้บริการใบรับรอง เช่น Digital Signature ซึ่งเป็นลายมือชื่อที่มีการเข้ารหัส ช่วยให้สามารถยืนยันตัวตนเจ้าของลายมือชื่อ ระบุเจตนาตามข้อความที่ได้ลงนามไว้ และสามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของข้อความและลายมือชื่อได้ ทำให้เจ้าของลายมือชื่อไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ทั้งนี้เพราะธุรกรรมที่เกิดขึ้นมักมีมูลค่าและความเสี่ยงสูง จึงควรใช้ e-Signature ประเภทที่มีความปลอดภัยสูงตามไปด้วย
ข้อดีของการนำ e-Signature มาใช้กับองค์กรธุรกิจคือช่วย ลดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง ประหยัดเวลาเพราะทำผ่านออนไลน์ได้ในไม่กี่นาที ลดต้นทุน เช่น กระดาษ หมึกพิมพ์ ซึ่งส่งผลทางอ้อมไปสู่การส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม และหากพิจารณาในด้านสังคมยังช่วยลดการสัมผัส ซึ่งลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของ COVID-19 ได้อีกด้วย
ในปัจจุบันเริ่มมีองค์กรธุรกิจหลายแห่งที่นำเทคโนโลยี e-Signature ไปใช้ เช่น เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ธนาคารเกียรตินาคิน บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ เป็นต้น ซึ่งองค์กรเหล่านี้สามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การติดต่อสื่อสารกับลูกค้า เพิ่มความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน มีความน่าเชื่อถือของข้อมูล ซึ่งมีส่วนสนับสนุนความสามารถทางการแข่งขันให้สูงขึ้น
ที่ผ่านมาวิกฤตจากการแพร่ระบาด COVID-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้หลายหน่วยงานต้องหาวิธีและทางออกในการทำงานภายใต้สภาวะแวดล้อมที่จำกัดในหลายๆ ด้าน ซึ่ง e-Signature เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ได้ตรงจุด แม้ว่าหลายหน่วยงานเริ่มใช้เทคโนโลยีนี้จากสถานการณ์บีบบังคับ แต่ในท้ายที่สุดการใช้ e-Signature ก็จะมีการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น